วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556



They invaded him.

They ignored his cried.

They cut off his arm and strike an ax on his legs.

They laughed when he bled. They laughed when he screamed.

Like a virgin who get rape. He can't back to a pure.





Mother of the world







He used to be strong.

No, no, I mean his mother, who killed by the Romans more than two thousand years ago.

Now he's an Arab guy who is love to stay stable and sinking to his invaluable memories.

Staring at his mother's heritage, that burn remind him of what's happened last two years.

He burned it down himself.

While Anubis glared at him with anger.





MORNINGS IN JENIN



 
 
 
[แผ่นดินของใคร]
MORNINGS IN JENIN
ผู้แต่ง : ซูซาน อาบูลฮาวา
ผู้แปล : อุษา ฤทธาภิรมย์
ของสำนักพิมพ์สันสกฤต

 
 

เขาพูดภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นว่า "ยิงใครไม่ได้อีกแล้ว"
 
 

ณ หมู่บ้านไอน์ ฮอดอันอุดมสมบูรณ์แห่งดินแดนปาเลสไตน์ เยห์ยาผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวกำลังทำหน้าที่เก็บเกี่ยวมะกอกและมะเดื่ออย่างขมักเขม้น ลูกชายทั้งสองของเขาเกือบจะโตพอรับช่วงต่อจากเขาได้แล้ว สิ่งเดียวที่เขาไม่ค่อยพอใจกับ ฮะซัน ลูกชายคนโต มีเพียงแค่ฮะซันดึงดันจะแต่งงานกับสาวน้อยแก่นแก้วชาวเบดูอินที่ภรรยาของเขาแสนจะเกลียดนักเกลียดหนาเท่านั้นเอง อย่างไรเสียแม่สาวชาวเบดูอินมอบทายาทให้ฮะซันเป็นบุตรชายถึงสองคน คือ ยูเซฟและอิสมาเอล วันหนึ่ง ขณะที่ยูเซฟผู้พี่ไม่ทันระวังก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับอิสมาเอลทำให้บนใบหน้าของน้องเกิดแผลเป็นที่ไม่มีวันเลือนหาย 
 
 
 
ทุกอย่างในที่นั่นดูเหมือนจะสงบสุขดี...มันควรจะเป็นอย่างนั้น
 
 

ปี 1948 ปีที่ความหายนะมาเยือนชุมชนนี้ พวกเขาถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านไปอยู่ค่ายผู้อพยพในเมืองเยนิน ครอบครัวของเยห์ยาถูกต้อนไป แม่สาวชาวเบดูอินกอดลูกชายคนเล็กไว้แนบอกขณะเดินไปบนทางเท้าโดยมีปืนจี้อยู่ด้านหลัง แต่แล้ว ลูกชายคนเล็กของเธอกลับหายตัวไป อิสมาเอลหายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมกับหัวใจของผู้เป็นแม่ที่แตกสลาย 
 
และ อามาล เด็กหญิงซึ่งเป็นทายาทคนที่สามของเธอก็ได้ลืมตาดูโลก ณ ค่ายแห่งเยนินนั้นเอง
 
 

นายทหารชาวอิสราเอลผู้ลี้ภัยจากกองทัพนาซีอันเหี้ยมโหดมาสู่ดินแดนปาเลสไตน์เดินทางกลับจากเยนิน ไปยังบ้านของเขาซึ่งมีภรรยาสุดที่รักรออยู่ ภรรยาของเขาถูกทหารนาซีย่ำยีจนเธอไม่สามารถมีลูกได้อีกแล้ว ด้วยความรักและริษยา เขาฉกเอาเด็กทารกในอ้อมกอดของหญิงสาวชาวปาเลสไตน์คนหนึ่งและจากมา เขายื่นทารกน้อยที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าให้เธอ โกหกเรื่องพ่อแม่ที่แท้จริงของเด็กน้อย เธอไม่สนว่าทารกจะเป็นอาหรับหรืออะไร เธอบอกกับเขาว่า "จากนี้ไปเขาเป็นลูกชายของเรา"
 
แม้กระนั้น เสียงร้องเรียกหาลูกชายของหญิงชาวเบดูอินก็ยังคงตามหลอกหลอนเขาเรื่อยมา 
 
 
 

หนังสือเล่มนี้กล่าวถึง อามาล เด็กหญิงน้อยที่เกิดและเติบโตในค่ายผู้อพยพแห่งเมืองเยนิน เธอได้อาศัยอยู่กับเพื่อนและครอบครัว พ่อที่เป็นราวกับเทพเจ้าของเธอ พี่ชายที่เธอรัก เพื่อนสนิทที่เป็นดุจอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเธอ และแม่...ที่เหลือเพียงแววตาอันว่างเปล่าหลังจากทหารอิสราเอลบุกโจมตีค่ายเยนินในสงครามหกวัน
 
 
จากเยนิน ไปสู่อเมริกาและเลบานอน อามาลเคยคิดจะหนีชะตากรรมของเธอ เคยพยายามที่จะลืมอดีตและใช้ชีวิตใหม่ในฐานะคนแปลกหน้าบนโลกที่ไม่มีทหารคอยกดขี่ แต่อย่างไรเสีย เธอยังคงปรารถนาที่จะกลับบ้านเกิดเสมอ เธอคิดถึงบ้านที่จากมา พี่ชายคนโตที่เธอรัก และพี่ชายอีกคนหนึ่งที่เธออาจไม่มีโอกาสได้รู้จักเลย
 

นั่นคือบ้านเกิดที่ทำให้เธอได้พบกับความรักและมิตรภาพอันงดงาม รวมทั้งความโหดร้ายทารุณอันขมขื่นจากสงคราม
 

มีสิ่งหนึ่งเรียกร้องเธอให้กลับสู่บ้านเกิด เธอได้ยินเสียงเรียกจากปาเลสไตน์ในตัวเธอ


 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หมายเหตุ : หนังสือเล่มนี้เคยพิมพ์ในชื่อ The scar of David มาก่อน

My favourite books and movies





ชื่อเรื่อง : Sarah's key (ขาดใจ)
ผู้เขียน : Tatiana de Rosnay
ผู้แปล : ทศพร กลิ่นหอม
สำนักพิมพ์สันสกฤต
Note : เป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นอิงจากเหตุการณ์การกวาดต้อนชาวยิวในฝรั่งเศสสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หญิงสาวนักหนังสือพิมพ์ผู้หนึ่งตัดสินใจที่จะเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เนื่องในโอกาสวันครบรอบรำลึก แต่กลับมาพบเรื่องราวน่าสลดใจบางอย่างในบ้านของสามีเธอเอง






ชื่อเรื่อง : Between Shades of Grey (บันทึกสีเทา)
ผู้เขียน :  Ruta Sepetys 
ผู้แปล : ณวรา
สำนักพิมพ์สันสกฤต
Note : เรื่องของเด็กสาวชาวลิทัวเนียที่ถูกเนรเทศออกจากประเทศไปพร้อมกับครอบครัวโดยโซเวียตภายใต้การนำของสตาลิน เธอถูกบังคับให้ไปใช้แรงงานในถิ่นทุรกันดารและยัดเยียดความเป็นอาชญากร เช่นเดียวกับครอบครัวอีกมากมายในประเทศแถบบอลติก ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับอุดมการณ์และการเมือง






ชื่อเรื่อง : Mornings in Jenin (แผ่นดินของใคร)
ผู้แต่ง : ซูซาน อาบูลฮาวา
ผู้แปล : อุษา ฤทธาภิรมย์
สำนักพิมพ์สันสกฤต
Note : เรื่องราวชีวิตของหญิงชาวปาเลสไตน์คนหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มจนจบ เธอเกิดในค่ายของผู้อพยพแห่งหนึ่งในเมืองเยนินหลังจากที่ครอบครัวของเธอถูกขับไล่ออกจากบ้านเกิดเพราะการมาของชาวยิวและการตั้งรัฐอิสราเอล โชคชะตานำเธอไปไกลถึงอเมริกาและเลบานอน แต่สุดท้าย เธอก็เลือกที่จะกลับคืนสู่มาตุภูมิ (เรื่องนี้เราเคยเวิ่นยาวเอาไว้ในเอนทรี่นี้)






ชื่อเรือง : ปวดร้าวแห่งสงคราม The Sorrow of War
ผู้เขียน : เบ๋านินห์ (Bao Ninh)
ผู้แปล : วรวดี วงศ์สง่า
แพรวสำนักพิมพ์
Note: อันนี้เป็นสงครามเวียดนาม เรื่องราวของเกี๋ยน ทหารผ่านศึก(สงครามเวียดนาม)ที่ฝังใจกับความโหดร้ายของสงครามและได้ถ่ายทอดความเจ็บปวดเหล่านั้นออกมาเป็นตัวหนังสือ เรื่องจะดำเนินไปแบบเล่าเรื่องของเกี๋ยนหลังสงครามกับเรื่องอดีตสลับไปสลับมา และค่อยๆเฉลยเรื่องราวต่างๆทีละน้อย

(ความจริงคือเราไม่ได้อ่านเล่มนี้นานแล้ว /โดนตบ) 












โซนหนัง




ชื่อเรื่อง: The Kite Runner (2007)
ผู้กำกับ : Marc Forster 
ภาษา : เปอร์เซีย, อังกฤษ, รัสเซีย
ดารานำแสดง : Khalid Abdalla, Zekeria Ebrahimi, Ahmad Khan Mahmidzada, Homayoun Ershadi
Note : เป็นหนังที่ทำมาจากหนังสือ(แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปหาหนังสือมาอ่านสักที) ในหนังจะกล่าวถึงเรื่องราวของเด็กชายชื่ออาเมียร์ที่ใช้ชีวิตในกรุงคาบูลก่อนที่อัฟกานิสถานจะถูกรุกรานโดยสหภาพโซเวียตประมาณปี1978-1979 อาเมียร์มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อฮัสซัน(ลูกชายของอาลี คนรับใช้บ้านอาเมียร์) ทั้งสองมักจะเข้าร่วมการแข่งว่าวซึ่งเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากในอัฟกานิสถานขณะนั้น โดยฮัสซันจะเป็นฝ่ายวิ่งไปเก็บว่าวของคู่ต่อสู้ที่อาเมียร์เอาชนะได้มาให้ แต่แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ทั้งสองผิดใจและแยกทางกันไป  หลังจากนั้นไม่นานอาเมียร์และครอบครัวที่ต่อต้านโซเวียตก็ลี้ภัยไปอยู่ในปากีสถานและอเมริกา เริ่มต้นชีวิตใหม่
ปี2000 อาเมียร์ที่อาศัยอยู่กับภรรยาและลูกๆในอเมริกาได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าแก่ของพ่อซึ่งอาศัยอยู่ในปากีสถาน เรียกเขาไปที่ปากีสถานและได้เล่าให้ฟังว่าตนได้จ้างอาลีกับฮัสซันให้กลับมาดูแลบ้านของพ่ออาเมียร์ในอัฟกานิสถานหลังจากที่พวกเขาย้ายออกไป แต่ปรากฎว่าหลังจากที่อัฟกานิสถานถูกปกครองโดยตอลิบัน ฮัสซันและภรรยาก็ถูกสังหาร เหลือเพียงลูกชายของฮัสซันที่ชื่อว่าซอรับ ซึ่งตอนนี้น่าจะอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง อาเมียร์จึงเดินทางกลับไปที่บ้านเกิดของเขาที่เขาเคยรู้จัก เพื่อช่วยเหลือลูกชายของเพื่อนสนิทในวัยเด็ก






ชื่อเรื่อง: The time that remains (2009)
ผู้กำกับ : Elia Suleiman 
ภาษา : อารบิค, ฮีบรู, อังกฤษ
ดารานำแสดง : Elia Suleiman, Saleh Bakri, Leila Mouammar, Bilal Zidani
Note : เป็นหนังแนวตลกร้ายของElia Suleimanผู้กำกับชาวปาเลสติเนียน ที่กล่าวถึงครอบครัวของเขาเอง (และตัวเองนำแสดงด้วย) โดยเริ่มจากเรื่องราวของพ่อเขาที่อาศัยอยู่ในเมืองนาซาเรธขณะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐอิสราเอลในสงครามปี1948 แล้วก็เป็นการเล่าเรื่องครอบครัวของเขาที่ใช้ชีวิตอยู่ในนาซาเรธหลังจากนั้น จนกระทั่งตัวเขาเองที่เป็นวัยรุ่นถูกเนรเทศออกจากอิสราเอล ไปอยู่อเมริกา และจึงตัดมาที่ตัวเขาตอนอายุมากแล้วซึ่งได้กลับมาที่บ้านเกิดจนได้ เรื่องนี้เน้นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอิสราเอล-ปาเลสไตน์แบบเสียดสีแต่ก็ฮาดี ความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละครก็น่ารักดีด้วย (?) มีเกร็ดประวัติศาสตร์แทรก

/ไว้จะหาหนังของผู้กำกับคนนี้มาดูเพิ่ม







ชื่อเรื่อง: Lebanon (2009)
ผู้กำกับ : Samuel Maoz
ภาษา : ฮีบรู, อารบิค
ดารานำแสดง : Yoav Donat, Oshri Cohen, Michael Moshonov, Itay Tiran
Note : อันนี้เป็นหนังอิสราเอล คำแนะนำคือไม่ควรดูไปกินไป(ฮา) เรื่องนี้จะเริ่มด้วยการที่อิสราเอลส่งทหารเข้าไปในเลบานอนระหว่างสงครามกลางเมืองเลบานอน(ปี1982) ที่ทั้งอิสราเอลและซีเรียต่างเข้าแทรกแซง โดยเรื่องจะดำเนินผ่านมุมมองของทหารในรถถัง มีภารกิจคือเคลียร์ชาวเลบานอนออกจากพื้นที่หนึ่ง ระหว่างเรื่องก็มีตัวละครอื่นๆที่โผล่เข้ามาในรถถังด้วย อย่างร่างของทหารที่ตาย เจ้าหน้าที่ระดับสูงกว่า เชลยชาวซีเรียและพวกฟาลังจิสต์(ชาวเลบานอนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นพันธมิตรกับทหารอิสราเอล)ที่เข้ามาข่มขู่เชลย หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีฉากยิงกันเปรี้ยงปร้างอะไรมาก คิดว่าส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ทหารในรถถังมากกว่า ว่าจะกล้ายิงหรือไม่ยิง ซึ่งการตัดสินใจแต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของเพื่อนร่วมรบและชีวิตของผู้บริสุทธิ์





ชื่อเรื่อง: Beaufort (2007)
ผู้กำกับ : Joseph Cedar
ภาษา : ฮีบรู
ดารานำแสดง : Oshri Cohen, Ohad Knoller, Itay Tiran
Note : Oshri CohenกับItay Tiranขับรถถังเสร็จก็มาเฝ้าป้อมต่อ /ไม่ใช่ อันนี้เป็นเรื่องราวก่อนที่อิสราเอลจะถอนทหารออกจากเลบานอน ฉากคือป้อมปราการโบฟอร์ทที่ถูกสร้างโดยพวกครูเสด ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเลบานอนซึ่งอิสราเอลยึดได้ในสงครามปี1982 ไลราซ ผู้บังคับบัญชาประจำป้อมวัย22ปีต้องเผชิญกับความกดดันจากการยิงจรวดของพวกเฮซบอลลาร์ และเฝ้ามองทหารในหน่วยล้มตายไปต่อหน้า เรื่องนี้มีกล่าวถึงค่านิยมของหนุ่มสาวที่อยากจะเข้าร่วมกองทัพ กับทหารที่เอาชีวิตไปทิ้งที่ป้อมนั้น 


Plagues of Egypt



As I posted a song name 'The Plagues' in previously entry. I just want to explain more about those PLAGUES.








The Plagues of Egypt, also called the Ten Plagues or the Biblical Plagues,were ten calamities that inflicted upon Egypt to persuade Pharaoh to release Israelites from slavery. Pharaoh capitulated after the tenth plague, triggering the Exodus of the Jewish people. The plagues were designed to contrast the power of Yahweh with the impotence of Egypt's various gods.





I. Plague of blood : Ex. 7:14-25

God instructed Moses to dip the top of his staff in the river Nile; all of its water turned into blood. As a result of blood, the fish of Nile died, filling Egypt with an awful stench.
Pharaoh's sorcerers demonstrated that they could turn water into blood too, so Pharaoh made no consession to Moses' demands.




II. Plague of frogs : Ex. 7:25-8:11

God commanded Moses to tell Aaron to stretch the staff over the water, and hordes of frogs came and overran Egypt. Pharaoh was forced to grant permission for the Israelites to leave so that Moses would agree to remove the frogs.
Nevertheless, Pharaoh rescinded his permission, and the Israelites stayed in Egypt.



III. Plague of lice or gnats : Ex. 8:12-15

God instructed Moses to tell Aaron to take the staff and strike at the dust, which turned into a mass of lice that the Egyptian could not get rid of.




IV. Plague of flies or wild animals : Ex. 8:20-32

The swarm came against the Egyptians, that it did not affect the land of Goshen (where the Israelites lived). 
However, when the plague was gone, Pharaoh refused to allow the Israelites' freedom again.




V. Plague of pestilence : Ex. 9:1-7

Epidemic disease exterminated the Egyptian livestock; that is, horses, donkeys, camels, cattle, sheep and goats.
Once again, Pharaoh made no concessions.




VI. Plague of boils : Ex. 9:8-12

God commanded Moses and Aaron to each take two handfuls of soot from a furnace, which Moses scattered skyward in Pharaoh's presence. The soot induced festering Shkhin eruptions on Egyptian men and livestock.




VII. Plague of hail : Ex. 9:13–35

God commanded Moses to stretch his staff skyward, at which point the storm commenced. It was even more evidently supernatural than the previous plagues, a powerful shower of hail intermixed with fire. The storm heavily damaged Egyptian orchards and crops, as well as people and livestock. The storm struck all of Egypt except for the Land of Goshen. However, after the storm ceased, Pharaoh again "hardened his heart" and refused to keep his promise





IIX. Plague of locusts : Ex. 10:1–20



God then had Moses stretch his staff over Egypt, and a wind picked up from the east. The wind continued until the following day, when it brought a locust swarm. The swarm covered the sky, casting a shadow over Egypt. It consumed all the remaining Egyptian crops, leaving no tree or plant standing. Pharaoh again asked Moses to remove this plague and promised to allow all the Israelites to worship God in the desert. As promised, God sent a wind that blew the locusts into the Red Sea. However, He also hardened Pharaoh's heart, and he did not allow the Israelites to leave.




IX. Plague of darkness : Ex. 10:21–29

God commanded Moses to stretch his hands up to the sky, to bring darkness upon Egypt. This darkness was so heavy that an Egyptian could physically feel it. They couldn't work or do activities. They were unable to track time for lack of light and they even had a hard time interacting with each other. The Egyptians had to rely on the senses of touch and hearing. It lasted for three days, during which time there was light in the homes of the Israelites. Pharaoh then called to Moses and offered to let all the Israelites leave, if only the darkness would be removed from his land. However, he required that their sheep and cattle stay. Moses refused any compromise, and went on to say that Pharaoh must allow them to take also the animals because they are needed for sacrifice. Pharaoh, enraged, then threatened to execute Moses if he should again appear before Pharaoh. Moses replied that he would indeed not visit the Pharaoh again.










X.

Death of the firstborn (מַכַּת בְּכוֹרוֹת): Ex. 11:1–12:36



Before this final plague, God commanded Moses to inform all the Israelites to mark lamb's blood on the doorposts on every door in which case the LORDwill pass over them and not "suffer the destroyer to come into your houses and smite you" (chapter 12, v. 23), thus sparing all the Israelite first-borns. This was the hardest blow upon Egypt and the plague that finally convinced Pharaoh to submit, and let the Israelites go.


This is what the LORD says: 'About midnight I will go throughout Egypt. Every firstborn in Egypt will die, from the firstborn son of Pharaoh, who sits on the throne, to the firstborn of the slave girl, who is at her hand mill, and all the firstborn of the cattle as well. There will be loud wailing throughout Egypt—worse than there has ever been or ever will be again.'
— Exodus 11:4–6
After this, Pharaoh, furious, saddened, and afraid that he would be killed next, ordered the Israelites to go away, taking whatever they wanted. The Israelites did not hesitate, believing that soon Pharaoh would once again change his mind, which he did; and at the end of that night Moses led them out of Egypt with "arms upraised".



วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Finally....







It just on top of my desire.



Beat you. Defeat you. Sniff your blood.



You take control over me so long....



very long time.



It's so shameful



that I surrender to you, who became a weak lamb.



Weak and sickly. Your position always made me laugh.



I under you only in the name.



But now, it's time to declare.



I wish I could tear you down.



Slay you and burn you.



I straddle over you. Put my sword over your head and the sharp edge is turn toward your face.



I can't hide my grin.



But when I raising my sword.



I heard his voice.



His powerful and calm voice that tell me to stop.



I cursed him.



But the only thing I can do is run away.




Noble Maiden Fair (A Mhaighdean Bhan Uasal)


Brave OST - 16 - Noble Maiden Fair (A Mhaighdean Bhan Uasal)
Performed by Emma Thompson and Peigi Barker
Music by Patrick Doyle

Noble Maiden Fair

Lyrics

Gaelic Lyrics:

A naoidhean bhig, cluinn mo ghuth
Mise ri d' thaobh, O mhaighdean bhan
Ar righinn oig, fas as faic
Do thir, dileas Fein
A ghrian a's a ghealaich, stuir sinn
Gu uair ar cliu 's ar gloire
Naoidhean bhig, ar righinn go
Mhaighdean uashaill bhan

English Translation:

Little baby, hear my voice
I'm beside you, O maiden fair
Our young Lady, grow and see
Your land, your own faithful land
Sun and moon, guide us
To the hour of our glory and honour
Little baby, our young Lady
Noble maiden fair
แปล(ง)เพลง by me
เด็กน้อยเอย จงฟังข้าขับขาน
ข้าไม่เคยจากเจ้าไกล  โอ นวลลออ
เด็กหญิงน้อยของเรา ได้เติบโตและแลเห็น
แผ่นดินอันร่มเย็น แผ่นดินของเจ้าเอง
ตะวันและจันทรา นำพาเราก้าวไป
สู่ชั่วยามอันละไม รุ่งไรจน์และปรีดา
เด็กน้อยเอย เด็กหญิงน้อยของเรา
นงคราญผู้ประเสริฐ